Blog

  • รู้จักยีนก่ออัลไซเมอร์ ใครบ้างควรตรวจ?

    รู้จักยีนก่ออัลไซเมอร์ ใครบ้างควรตรวจ?

    รู้จักยีนก่ออัลไซเมอร์ ใครบ้างควรตรวจ?

    ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคอัลไซเมอร์ 

    โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นส่วนสำคัญ โดยปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลต่อความเสี่ยงของโรคถึงร้อยละ 60-80 ข้อมูลจากการศึกษาขนาดใหญ่ระบุว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์มากกว่า 70 ยีนการศึกษาทางพันธุกรรมขนาดใหญ่พบยีนและตำแหน่งทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์มากกว่า 70 ตำแหน่ง 

    ยีนสำคัญที่ควรรู้จัก 

    1. ยีน APOE (Apolipoprotein E) 

    ยีน APOE โดยเฉพาะรูปแบบ ε4 (epsilon 4) เป็นปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับอัลไซเมอร์ที่เริ่มมีอาการในวัยชา ยีนนี้มี 3 รูปแบบหลัก คือ ε2, ε3 และ ε4 โดย: 

    • APOE ε4 เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค 
    • APOE ε2 ช่วยลดความเสี่ยง 
    • APOE ε3 เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและมีความเสี่ยงปานกลาง 

    ที่น่าสนใจคือ ผลของ APOE ε4 ต่อความเสี่ยงของโรคแตกต่างกันในแต่ละเชื้อชาติ โดยพบว่าในคนเชื้อสายแอฟริกันมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนผิวขาว ขณะที่ในคนญี่ปุ่นมีความเสี่ยงสูงกว่า 

    2. ยีนสำหรับอัลไซเมอร์ที่เริ่มเร็ว (Early-onset) 

    สำหรับอัลไซเมอร์ที่เริ่มมีอาการในวัยกลางคน มักเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนสามตัว คือ APP, PSEN1 และ PSEN2 ซึ่งพบการกลายพันธุ์มากกว่า 300 รูปแบบ ยีนเหล่านี้ถ่ายทอดแบบออโตโซมัลโดมิแนนท์ มีอัตราการแสดงอาการสูง และมักเริ่มมีอาการก่อนอายุ 65 ปี 

    3. ยีนอื่นๆ ที่มีความสำคัญ 

    การศึกษาในกลุ่มคนเชื้อสายแอฟริกันพบยีนที่มีความสำคัญเฉพาะกลุ่ม เช่น ABCA7 และ ACE โดยเฉพาะ ABCA7 ที่มีการกลายพันธุ์แบบ 44 bp deletion พบว่าเกี่ยวข้องกับการผลิต amyloid-β ที่เป็นพิษเพิ่มขึ้นและความสามารถในการกำจัดลดลง 

    ใครบ้างควรพิจารณาตรวจยีน : กลุ่มที่ควรตรวจหาความเสี่ยงทางพันธุกรรม 

    1. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ 

    • มีญาติสายตรงเป็นโรค โดยเฉพาะหลายคนในครอบครัว 
    • มีญาติที่เริ่มมีอาการก่อนอายุ 65 ปี 

    2. ผู้ที่มีอาการเริ่มเร็วกว่าปกติ 

    • เริ่มมีอาการสมองเสื่อมก่อนอายุ 65 ปี 
    • มีอาการทางสมองที่ผิดปกติและไม่ทราบสาเหตุ 

    3. ผู้ที่ต้องการประเมินความเสี่ยง 

    • สำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องสุขภาพสมองและต้องการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า 
    • ผู้ที่ต้องการร่วมการวิจัยหรือการทดลองทางคลินิก 

    ความสำคัญของการตรวจในกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน 

    ข้อจำกัดสำคัญของการวิจัยในปัจจุบันคือข้อมูลส่วนใหญ่มาจากคนผิวขาวในยุโรปและอเมริกาเหนือ ทำให้ขาดข้อมูลสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น การศึกษาที่ครอบคลุมหลากหลายเชื้อชาติจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 

    การอพยพและเหตุการณ์ทางประชากรศาสตร์ตลอดหลายพันปีของประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของมนุษย์ ได้หล่อหลอมความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรในปัจจุบัน ทำให้ความถี่ของยีนและความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมแตกต่างกัน

    การตรวจและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลยีน 

    วิธีการตรวจ : การตรวจยีนสามารถทำได้หลายวิธี 

    • การตรวจยีนเฉพาะเจาะจง เช่น APOE genotyping 
    • Whole Exome Sequencing (WES) สำหรับตรวจยีนที่เข้ารหัสโปรตีน 
    • Whole Genome Sequencing (WGS) สำหรับตรวจยีนทั้งหมด 

    การใช้ประโยชน์ 

    คะแนนความเสี่ยงทางพันธุกรรมแบบรวม (Polygenic Risk Score) เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงเมื่อมียีนหลายตัวที่มีผลเล็กน้อยร่วมกัน ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วย 

    • ประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล 
    • วางแผนการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน 
    • พิจารณาเข้าร่วมการทดลองทางคลินิก 
    • เตรียมความพร้อมสำหรับครอบครัว 

    ข้อควรระวังและข้อพิจารณา 

    1. การมียีนเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคแน่นอน แม้จะมี APOE ε4 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ 100% เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง 

    2. ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ก่อนและหลังการตรวจยีน ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ 

    3. ผลกระทบทางจิตใจ การรับรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงสูงอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ควรมีการเตรียมความพร้อมและระบบสนับสนุน 

    4. ความเป็นส่วนตัวและการรักษาข้อมูล ข้อมูลทางพันธุกรรมเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน ต้องมั่นใจว่ามีการปกป้องข้อมูลอย่างเหมาะสม 

    ทิศทางในอนาคต 

    ความพยายามในการขยายการศึกษาไปยังกลุ่มประชากรที่ยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอ รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยที่ดีขึ้นและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจรูปแบบความหลากหลายทางพันธุกรรมของโรคสมองเสื่อมทั่วโลก 

    การพัฒนา biomarker จากเลือดที่สามารถใช้ได้ในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและทำให้การตรวจคัดกรองเข้าถึงได้มากขึ้น 

    สรุป 

    การทำความเข้าใจเรื่องยีนและโรคอัลไซเมอร์ช่วยให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงและวางแผนการดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น แม้ว่าจะมียีนเสี่ยง แต่การดูแลสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย การควบคุมโรคประจำตัว และการกระตุ้นสมอง ล้วนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงได้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการตรวจยีน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเอง

    เอกสารอ้างอิง 

    1. Reitz C, Pericak-Vance MA, Foroud T, Mayeux R. A global view of the genetic basis of Alzheimer disease. Nat Rev Neurol. 2023;19(5):261-77.
  • รู้ทัน MCI ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยได้

    รู้ทัน MCI ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยได้

    รู้ทันสมองเสื่อมตั้งแต่เนิ่นๆ: ทำไมการตรวจ MCI เร็วจึงช่วยชีวิตได้

    ภาวะการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อย หรือที่เรียกว่า MCI (Mild Cognitive Impairment) คืออะไร 

    ในปัจจุบันสังคมผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญทางด้านสุขภาพที่ผู้สูงอายุและครอบครัวควรให้ความสนใจ นั่นคือภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา โรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่นๆ (Alzheimer’s Disease and Related Dementias – ADRD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเริ่มต้นที่เรียกว่า MCI ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่สามารถชะลอการเกิดโรคได้ 

    MCI คือภาวะที่ผู้ป่วยมีการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อย เช่น มีปัญหาเรื่องความจำ การตัดสินใจ หรือการใช้ภาษา แต่ยังไม่รุนแรงจนรบกวนการทำกิจวัตรประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากภาวะสมองเสื่อมที่มีอาการรุนแรงกว่ามาก จากข้อมูลในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีผู้สูงอายุถึง 20% ที่มี MCI และในจำนวนนี้มากกว่า 30% จะพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมภายใน 5 ปีหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม 

    ที่น่าเป็นห่วงคือ การตรวจวินิจฉัยที่ล่าช้ายังคงเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก มีการประมาณการว่าถึง 40% ของผู้สูงอายุที่มีภาวะการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อยได้รับการวินิจฉัยล่าช้าหรือไม่ได้รับการวินิจฉัยเลย สำหรับ MCI นั้นสถานการณ์ยิ่งน่าห่วงกว่า เพราะมีเพียง 8-11% เท่านั้นที่ได้รับการวินิจฉัยทันเวลา 

    ทำไมการตรวจจับเร็วจึงสำคัญ 

    การตรวจจับ MCI หรือภาวะสมองเสื่อมในระยะแรกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวหลายประการ ประการแรก เมื่อตรวจพบเร็ว แพทย์สามารถระบุและรักษาสาเหตุที่แก้ไขได้ของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เช่น การใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน ยาที่มีฤทธิ์กดสมอง การขาดวิตามิน ภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ หรือภาวะซึมเศร้า ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถฟื้นฟูสมองได้ 

    ประการที่สอง การตรวจพบเร็วช่วยให้สามารถให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับสุขภาพสมองและปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ งานวิจัยล่าสุดระบุว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 14 ปัจจัย ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นประมาณ 45% ของกรณีโรคอัลไซเมอร์ทั่วโลก นั่นหมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของกรณีสามารถป้องกันหรือชะลอได้ด้วยการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม 

    ประการที่สาม ผู้ป่วย MCI มักมีโรคเรื้อรังอื่นๆ ร่วมด้วย ประมาณ 70% ของผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกามีโรคเรื้อรังตั้งแต่สองโรคขึ้นไป และประมาณ 60% ของผู้ที่มี ADRD มีโรคเรื้อรังตั้งแต่สามโรคขึ้นไป เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ หากไม่ทราบว่าผู้ป่วยมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา การดูแลโรคเรื้อรังเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพลดลง มีอัตราการเข้าโรงพยาบาลที่สามารถป้องกันได้เพิ่มขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนจากยา 

    นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญายังมีความเสี่ยงสูงต่อการหกล้ม การถูกหลอกลวงทางการเงิน และอุบัติเหตุจากการขับขี่ การตรวจพบเร็วช่วยให้สามารถวางแผนความปลอดภัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมได้ทันท่วงที 

    ปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันที่ทุกคนควรรู้ 

    การวิจัยทางการแพทย์ได้ระบุปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมไว้อย่างชัดเจน โดยอายุเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่ที่สำคัญคือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เราสามารถปรับเปลี่ยงได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 14 ปัจจัย ได้แก่  

    1. การศึกษาน้อย  
    1. การสูญเสียการได้ยิน  
    1. ความดันโลหิตสูง  
    1. การสูบบุหรี่  
    1. โรคอ้วน  
    1. การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป  
    1. การบาดเจ็บที่ศีรษะ  
    1. มลพิษทางอากาศ  
    1. การขาดกิจกรรมทางกาย  
    1. การขาดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม  
    1. โรคเบาหวาน  
    1. โรคซึมเศร้า  
    1. การสูญเสียการมองเห็น  
    1. คอเลสเตอรอลสูง 

    ที่น่าสนใจคือโรคเรื้อรังหลายโรคที่เราคุ้นเคย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคอ้วน ต่างเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะสมองเสื่อม ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรได้รับการดูแลเชิงรุกเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญา น่าเสียดายที่ผู้ป่วยและแพทย์หลายคนยังไม่ตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ และพลาดโอกาสในการให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพสมองและการลดความเสี่ยง 

    งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตแบบหลายมิติสามารถลดความเสี่ยง ชะลอการเสื่อมของสติปัญญา หรือแม้กระทั่งปรับปรุงความสามารถทางสติปัญญาในผู้ที่มีภาวะบกพร่องได้ การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ประกอบด้วย การจัดการปัจจัยเสี่ยงทางหลอดเลือดหัวใจ การปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การฝึกสมอง และการจัดการความเครียด ประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 5 ปี หลังจากการทำโปรแกรมแทรกแซง 2 ปี ในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงในยุโรป 

    บทบาทสำคัญของคลินิกเวชปฏิบัติทั่วไปและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 

    คลินิกเวชปฏิบัติทั่วไปและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการตรวจจับ MCI และภาวะสมองเสื่อมในระยะแรก เนื่องจากคลินิกเหล่านี้เป็นจุดแรก หรือบางครั้งเป็นจุดเดียวที่ผู้สูงอายุหลายคนเข้าถึงระบบสุขภาพ การส่งตัวไปพบแพทย์เฉพาะทางทุกรายไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและจำนวนแพทย์เฉพาะทางที่จำกัด 

    การผนวกกระบวนการตรวจสุขภาพสมองและการคัดกรองสติปัญญาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพประจำสามารถช่วยลดตีตราและทำให้การตรวจสติปัญญาเป็นเรื่องปกติ เครื่องมือคัดกรองความบกพร่องทางสติปัญญาแบบสั้น (Brief Cognitive Assessments – BCAs) ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจหาภาวะบกพร่องที่เป็นไปได้และเพื่อระบุว่าผู้ป่วยรายใดต้องการการประเมินทางสติปัญญาอย่างละเอียดมากขึ้น เนื่องจากแพทย์มีหลายเรื่องที่ต้องดูแลในแต่ละครั้งที่พบผู้ป่วย การตรวจคัดกรองเหล่านี้สามารถดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมอื่นๆ ในคลินิก ทำให้การนำไปใช้เป็นไปได้จริงมากขึ้น 

    ปัจจุบันมีความพยายามในการพัฒนาเครื่องมือคัดกรองให้ดีขึ้นโดยเอาชนะข้อจำกัดของเครื่องมือแบบดั้งเดิม ซึ่งมักขาดความไวในการตรวจจับการเสื่อมของสติปัญญาในระยะแรกและมีความเที่ยงตรงจำกัดในประชากรที่ไม่พูดภาษาอังกฤษและผู้ป่วยที่มีระดับการศึกษาต่ำ มีการพัฒนาแนวทางที่รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือประเมินที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว เพื่อช่วยให้ทีมปฐมภูมิเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับประชากรผู้ป่วย บริบททางวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมทางคลินิกของพวกเขา 

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเครื่องมือประเมินสติปัญญาแบบดิจิทัล (Digital Cognitive Assessments – DCAs) ที่มีศักยภาพในการปรับปรุงการตรวจจับเร็วโดยเพิ่มการเข้าถึงและลดเวลาในการวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยที่หลากหลายมากขึ้น DCAs มีข้อดี เช่น ความสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้ ความต้องการการฝึกอบรมที่ลดลง การผสานเข้ากับระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ และความสามารถในการลดอคติทางเศรษฐกิจสังคม ภาษา และวัฒนธรรมที่พบบ่อยในการทดสอบแบบกระดาษแบบดั้งเดิม

    ความก้าวหน้าในการรักษาและเครื่องมือวินิจฉัยใหม่ 

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้าสำคัญในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ยาแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอลที่กำหนดเป้าหมายพยาธิสภาพอะไมลอยด์ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ สำหรับ AD ที่มีอาการในระยะแรก ยาเหล่านี้มีศักยภาพในการชะลอการเสื่อมของสติปัญญาและการทำหน้าที่ หากได้รับในระยะแรกของโรค สร้างโอกาสสำคัญสำหรับแพทย์ปฐมภูมิในการระบุผู้ป่วยที่เหมาะสมเพื่อการรักษา และเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการแทรกแซงทันเวลา 

    นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว การได้รับการวินิจฉัย ADRD ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาที่ไม่ใช่ยา เช่น การนำทางการดูแลภาวะสมองเสื่อมและการจัดการดูแลแบบร่วมมือ โปรแกรมเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับปฐมภูมิเพื่อสนับสนุนผู้ป่วย ADRD และผู้ดูแลโดยช่วยเหลือในการประสานงานการดูแล การเข้าถึงบริการในบ้านและชุมชน และการศึกษาผู้ป่วยและผู้ดูแล 

    ความก้าวหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการพัฒนาการตรวจเลือดสำหรับวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ แม้ว่าวิธีการตรวจไบโอมาร์กเกอร์ของ AD เช่น การวิเคราะห์น้ำไขสันหลังและการถ่าย PET ส่วนใหญ่เข้าถึงได้ยากสำหรับผู้ป่วยปฐมภูมินอกเหนือจากสภาพแวดล้อมการวิจัยด้วยเหตุผลหลายประการ การตรวจเลือดที่กำลังพัฒนาขึ้นเสนอทางเลือกที่สามารถขยายขนาดได้มากกว่าสำหรับการใช้งานทางคลินิก การเพิ่มการเข้าถึงการวินิจฉัย AD ที่รวมข้อมูลทางชีววิทยา การตรวจเลือด (BBM) อาจปรับปรุงความเท่าเทียมในการวินิจฉัยทันเวลาและลดอัตราการวินิจฉัยผิดของสาเหตุของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา 

    ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่ต้องแก้ไข 

    ในหลายประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา มีความเหลื่อมล้ำที่สำคัญในอุบัติการณ์ ความชุก และระยะของ ADRD ในการวินิจฉัยระหว่างกลุ่มที่ไม่ได้รับการเป็นตัวแทนและกลุ่มที่ด้อยโอกาส ชาวอเมริกันผิวดำและบุคคลจากพื้นที่ชนบทมีแนวโน้มเป็นโรค ADRD สูงกว่าชาวอเมริกันผิวขาวและบุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองถึงสองเท่า และชาวฮิสแปนิกอเมริกันก็มีความเสี่ยงสูงกว่าชาวอเมริกันผิวขาวที่ไม่ใช่ฮิสแปนิก 1.5 เท่า 

    กลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับการวินิจฉัยในระยะที่ ADRD รุนแรงมากขึ้น มีการเสื่อมของสติปัญญาที่เร่งขึ้น และเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ การศึกษาแบบ cohort แบบคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้ข้อมูล claims แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุที่ไม่ใช่ฮิสแปนิกผิวดำและฮิสแปนิกในสหรัฐอเมริกามีความล่าช้าในการวินิจฉัยเพิ่มเติม 3 ถึง 12 เดือน เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ใช่ฮิสแปนิกผิวขาว และมักอยู่ในระยะที่รุนแรงกว่าของโรคในเวลาที่วินิจฉัย 

    แพทย์ปฐมภูมิอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเสนอการประเมินสติปัญญาในระยะแรก อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงการรักษาและการทดลองทางคลินิก และแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางสุขภาพในการดูแล ADRD อุปสรรคต่อการวินิจฉัยทันเวลาจำกัดโอกาสของผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์จากการรักษาใหม่และเข้าร่วมการทดลองทางคลินิก 

    ความเข้าใจผิด เช่น ความเชื่อที่ว่าอาการสมองเสื่อมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นผู้สูงอายุตามปกติและควรจัดการด้วยตนเองหรือภายในครอบครัว ยังทำให้เกิดความล่าช้าในการวินิจฉัยระหว่างกลุ่มที่ไม่ได้รับการเป็นตัวแทนและกลุ่มที่ด้อยโอกาส การพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพสมองที่เริ่มต้นโดยแพทย์ปฐมภูมิซึ่งแก้ไขความเข้าใจผิดและแยกความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปกติและผิดปกติ เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในการตรวจจับและดูแล ADRD 

    ข้อแนะนำสำหรับประชาชน 

    สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือมีปัจจัยเสี่ยง ควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพสมอง ดังนี้ 

    1.  ควรควบคุมโรคเรื้อรังให้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะความดันโลหิตสูง เบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง เพราะโรคเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม  
    1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ฝึกสมองด้วยกิจกรรมต่างๆ และจัดการความเครียด  
    1.  หากสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของความจำหรือสติปัญญาในตนเองหรือคนในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติของการแก่ชรา
    2. ไม่ควรกลัวหรือรู้สึกอับอายที่จะพูดคุยเรื่องสุขภาพสมองกับแพทย์ การตรวจจับเร็วช่วยเปิดโอกาสในการรักษาและชะลอโรคได้

    การตรวจจับและวินิจฉัย MCI และภาวะสมองเสื่อมในระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ลดภาระของสังคม และส่งเสริมความเท่าเทียมทางสุขภาพ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน การตรวจพบเร็วไม่ใช่แค่การรับรู้ปัญหา แต่คือการเปิดประตูสู่โอกาสในการดูแลรักษาและชะลอโรคที่ดีขึ้น

    เอกสารอ้างอิง 

    1. Fowler NR, Partrick KA, Taylor J, Hornbecker M, Kelleher K, Boustani M, et al. Implementing early detection of cognitive impairment in primary care to improve care for older adults. J Intern Med. 2025;298:31-45.
  • เส้นทางการดูแลผู้ป่วย MCI due to AD

    เส้นทางการดูแลผู้ป่วย MCI due to AD

    เส้นทางการดูแล MCI due to AD ในเอเชีย: ความท้าทายและแนวทางแก้ไข 

    ภาวะความจำเสื่อมกำลังเป็นปัญหาสำคัญของเอเชีย

    โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่กำลังเผชิญกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ป่วย ข้อมูลระหว่างปี 1990 ถึง 2019 พบว่าอัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมในเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลก คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จำนวนผู้ป่วยสมองเสื่อมทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 57.4 ล้านคนในปี 2019 เป็น 152.8 ล้านคน โดยเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงถึง 6.2% และ 4.0% ตามลำดับ 

    โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่สมองเสื่อมไปทีละน้อย เริ่มต้นจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง (amyloid beta และ tau) ก่อนที่จะแสดงอาการทางคลินิก ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในสมองจนกระทั่งแสดงอาการอาจใช้เวลานานถึง 20 ปี สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วงระยะเริ่มต้นนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการที่เรียกว่า “ภาวะการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อย ” หรือ Mild Cognitive Impairment (MCI) ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มมีความจำหรือความคิดบกพร่องมากกว่าปกติตามวัย แต่ยังไม่รุนแรงพอที่จะจัดเป็นภาวะสมองเสื่อม 

    การค้นพบและรักษาผู้ป่วยในระยะ MCI จึงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่การแทรกแซงด้วยยารักษาโรคชนิดใหม่ (Disease-Modifying Therapies หรือ DMTs) อาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคได้ ยาเหล่านี้ทำงานโดยการกำจัดโปรตีนผิดปกติที่สะสมในสมอง และผลการศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่แสดงให้เห็นว่ายาชนิด Disease-Modifying Therapies หรือ DMTs สามารถชะลอการเสื่อมของสมองในผู้ป่วย MCI และอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นได้จริง 

    การศึกษาระบบดูแลผู้ป่วยในเอเชีย 

    เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ยาชนิดใหม่เหล่านี้ โครงการ Asia PRIME ได้ทำการศึกษาเส้นทางการดูแลผู้ป่วย MCI จากอัลไซเมอร์ในภูมิภาคเอเชีย โดยสำรวจความคิดเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 44 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย (ไม่รวมจีนแผ่นดินใหญ่และญี่ปุ่นที่มีการศึกษาแยกอยู่แล้ว) แพทย์ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ประสาทวิทยา (70.5%) และมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยมากกว่า 10 ปี 

    ผลการสำรวจพบว่าแพทย์แต่ละคนดูแลผู้ป่วย MCI เฉลี่ย 67.5 รายต่อเดือน โดย 24-87.5% ของผู้ป่วยเหล่านี้มี MCI ที่เกิดจากโรคอัลไซเมอร์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ด้วยอาการหลักคือความจำเสื่อม แต่ก็มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือพฤติกรรมก้าวร้าวร่วมด้วย

    กระบวนการตรวจวินิจฉัยในปัจจุบัน 

    เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ กระบวนการตรวจวินิจฉัยจะเริ่มจากการซักประวัติโดยละเอียด โดยเน้นไปที่การทำงานของสมองในแต่ละด้าน การตรวจร่างกายทางระบบประสาท และการประเมินว่าอาการต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ แพทย์เกือบทุกคน (93%) ใช้แบบทดสอบ Mini-Mental State Examination (MMSE) เป็นเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้น ส่วนแบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) ถูกใช้น้อยกว่า (66%) และถูกมองว่าเป็นทางเลือกในหลายประเทศ ยกเว้นเกาหลีที่มีการใช้แบบทดสอบที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น Seoul Neuropsychological Screening Battery 

    การถ่ายภาพสมองด้วย MRI ถูกใช้ในผู้ป่วยเกือบทั้งหมด (86-91%) และแพทย์เกือบทั้งหมด (91%) มองว่าเป็นการตรวจที่จำเป็น การถ่ายภาพด้วย CT ถูกใช้เป็นทางเลือกเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถทำ MRI ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือการตรวจหาสารชีวภาพ (biomarker) เพื่อยืนยันการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญในการวินิจฉัยอัลไซเมอร์อย่างแน่ชัด มีความแตกต่างกันมากระหว่างประเทศ 

    ในเกาหลีใต้ มีการใช้ amyloid PET scan ในผู้ป่วย 33% ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียใช้เพียง 5% เท่านั้น การตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF) เพื่อหาสารชีวภาพถูกใช้น้อยมากทั่วเอเชีย เนื่องจากเป็นการตรวจที่รุกล้ำ ผู้ป่วยเกรงกลัว และในหลายประเทศยังไม่มีบริการในทางคลินิก การตรวจเลือดหาสารชีวภาพที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ยังไม่แพร่หลาย ยกเว้นในฟิลิปปินส์ที่มีการนำมาใช้อย่างจริงจัง 

    การตรวจยีน APOE ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในเกาหลี (100% ของแพทย์) และถูกมองว่าเป็นส่วนสำคัญของการวินิจฉัย แต่ในประเทศอื่นๆ มีการใช้เพียง 50% และมองว่าเป็นทางเลือกมากกว่าความจำเป็น ระยะเวลาในการวินิจฉัยแตกต่างกันไปตั้งแต่ 1-6 เดือน โดยในเกาหลีใช้เวลาเฉลี่ย 2.8 เดือน แต่อาจนานถึง 6 เดือนหากต้องรอการตรวจประเมินทางจิตวิทยาที่ละเอียด 

    การรักษาและติดตามผู้ป่วย 

    เมื่อวินิจฉัยแล้ว แพทย์ทุกคนมองว่าเป้าหมายของการรักษาคือการชะลอการดำเนินของโรคไม่ให้กลายเป็นภาวะสมองเสื่อมเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ป่วยและครอบครัวคาดหวังส่วนใหญ่คือการรักษาให้หายขาด ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นไปไม่ได้ 

    ในด้านการรักษาด้วยยา ผู้ป่วย 96%-69% ได้รับยา ยาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม nootropics (ยาบำรุงสมอง) และยาประเภท acetylcholinesterase inhibitors  

    นอกจากยาแล้ว การรักษาแบบไม่ใช้ยามีความสำคัญมากและถูกแนะนำให้กับผู้ป่วยเกือบทุกราย (93-100%) โดยเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ได้แก่ การออกกำลังกาย (95-100% ของผู้ป่วย) การทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมองและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างต่อเนื่อง (95-100%) การปรับเปลี่ยนอาหาร (64-74%) และการเลิกสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (69-74%) การแทรกแซงทางจิตวิทยา เช่น การฝึกทักษะความคิด (cognitive interventions) ถูกแนะนำให้กับผู้ป่วย 61-66% ส่วนการจิตบำบัดถูกแนะนำเพียง 17-25% เท่านั้น 

    การติดตามผลผู้ป่วยมีการนัดทุก 3-6 เดือน ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ (98%) มองว่าเหมาะสมกับการดำเนินของโรคที่ค่อนข้างช้า การทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาซ้ำมีความถี่ตั้งแต่ทุก 3-6 เดือนในบางประเทศ จนถึงทุกปีในเกาหลี การถ่าย MRI ซ้ำมักทำเฉพาะเมื่อมีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วหรือสงสัยว่าอาจมีภาวะอื่นแทรกซ้อน 

    อุปสรรคและความท้าทายที่พบ 

    การศึกษานี้ชี้ให้เห็นอุปสรรคที่สำคัญหลายประการในการดูแลผู้ป่วย MCI จากอัลไซเมอร์ในเอเชีย ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แพทย์ระบุว่าการค้นพบผู้ป่วยในประเทศของตนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงผลสำเร็จของนโยบายสาธารณสุขระดับชาติที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2008 โดยมีการอัพเดตแผนงานมาแล้ว 4 ครั้ง รวมถึงการขยายความคุ้มครองประกันสุขภาพให้ครอบคลุมถึง 90% ของค่ารักษาโรคสมองเสื่อม การเปิดศูนย์สนับสนุนผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 256 แห่งทั่วประเทศ และการขยายระบบประกันการดูแลระยะยาว 

    ตรงกันข้าม แพทย์ในประเทศอื่นๆ (36% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ระบุว่าการค้นพบผู้ป่วยยังไม่เพียงพอ สาเหตุหลักมาจากผู้ป่วยและครอบครัวขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค มักคิดว่าการที่ความจำเสื่อมเป็นเรื่องปกติของวัยชรา จึงไม่รีบมาพบแพทย์ สิ่งนี้ส่งผลให้เสียเวลาอันมีค่าในการเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรก 

    อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเข้าถึงบริการตรวจวินิจฉัย มีรายงานว่าผู้ป่วยต้องรอนานกว่าจะได้เข้ารับการตรวจ (16% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) นอกจากนี้ยังมีปัญหาคิวรอการถ่ายภาพสมอง ปัญหาหลักคือการขาดแคลนบุคลากรและเวลารอที่ยาวนานสำหรับการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่ครอบคลุม การขาดแคลนบุคลากรในการทำการทดสอบทางจิตวิทยา 

    การเข้าถึงการตรวจหาสารชีวภาพที่ยืนยันการสะสมของโปรตีนผิดปกติมีความแตกต่างกันมากระหว่างประเทศ ในเกาหลี amyloid PET มีบริการพร้อมแต่มีราคาแพง แพทย์ 14% เสนอว่าควรมีการจ่ายคืนค่ารักษาจากประกันสุขภาพ ส่วนในอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย (16% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ยังไม่มีบริการ amyloid PET เลย การตรวจน้ำไขสันหลังไม่เป็นที่นิยมทั่วเอเชียเนื่องจากเป็นการตรวจที่รุกล้ำ และในหลายประเทศ (ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน รวม 32% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ยังไม่มีบริการในทางคลินิก 

    การเตรียมพร้อมสำหรับยารักษาโรคชนิดใหม่ 

    แพทย์ทุกคนเห็นพ้องว่าเมื่อยา DMTs ที่กำจัดโปรตีน amyloid เข้ามาใช้ได้จริง จะต้องมีการตรวจหาสารชีวภาพมากขึ้น (80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ไม่ว่าจะเป็น amyloid PET การตรวจเลือด หรือการตรวจน้ำไขสันหลัง เพื่อคัดเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสมกับการรักษา แพทย์ในเกาหลี (50% ของแพทย์ในเกาหลี) เน้นย้ำความสำคัญของการรักษาผู้ป่วยให้เร็วที่สุดเพื่อชะลอการดำเนินของโรค ส่วนแพทย์จากประเทศอื่นๆ (100% ของแพทย์นอกเกาหลี) เห็นตรงกันว่ายาเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาผู้ป่วย MCI จากอัลไซเมอร์ 

    อย่างไรก็ตาม การศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐอเมริกาและยุโรปพบว่าระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับยาชนิดใหม่ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านกำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระยะเวลารอคอยที่ยาวนาน การคาดการณ์แสดงว่าผู้ป่วยจำนวนมากอาจพัฒนาเป็นสมองเสื่อมเต็มรูปแบบขณะรอรับการรักษา หากไม่มีการปรับปรุงระบบ ในญี่ปุ่น แม้จะมียาเข้ามาใช้แล้วและมีผู้ป่วยได้รับยาไปกว่า 4,500 คนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 แต่ก็ยังมีความท้าทายในการจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยและการเข้าถึงการตรวจต่างๆ  

    ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ 

    จากผลการศึกษานี้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ มีข้อเสนอแนะสำคัญหลายประการเพื่อปรับปรุงระบบการดูแลผู้ป่วย MCI จากอัลไซเมอร์ในเอเชีย  

    • ข้อแรกและสำคัญที่สุดคือการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ผู้ดูแล และประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับ MCI และโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงประโยชน์ของการค้นพบเร็ว สุขภาพสมอง ปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม และความสำคัญของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การให้ความรู้จะช่วยลดความอับอายและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาวะความจำเสื่อม นอกจากนี้ ควรมีการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้สาธารณะเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนมาตรวจสุขภาพเชิงรุก 
    • ข้อที่สอง คือการเสริมสร้างศักยภาพของโรงพยาบาลระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิให้สามารถค้นพบและประเมินผู้ป่วย MCI ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป พยาบาล และเจ้าหน้าที่สนับสนุนอื่นๆ เกี่ยวกับสารชีวภาพของโรคอัลไซเมอร์ การตรวจต่างๆ และการรักษาที่มีอยู่ ข้อเสนอแนะล่าสุดแนะนำให้แบ่งหน้าที่ระหว่างแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปกับแพทย์เชี่ยวชาญ โดยแพทย์ปฐมภูมิจะทำหน้าที่คัดกรองและประเมินอาการเบื้องต้น ส่วนแพทย์เชี่ยวชาญจะทำหน้าที่ยืนยันด้วยสารชีวภาพ ให้การรักษา และติดตามผล 
    • ข้อที่สาม คือการพัฒนาและขยายบริการประเมินทางจิตวิทยาและความคิด โดยควรมีการฝึกอบรมนักจิตวิทยาคลินิกเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถทำแบบทดสอบที่ครอบคลุมและตีความผลได้อย่างมาตรฐาน นอกจากนี้ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยโดยอิงจากแบบทดสอบคัดกรองและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อน 
    • ข้อที่สี่ คือการปรับปรุงการเข้าถึงและการใช้การตรวจหาสารชีวภาพ การตรวจเลือดหาสารชีวภาพที่กำลังพัฒนาขึ้นมีศักยภาพสูงเพราะราคาถูกกว่าและทำง่ายกว่า อาจช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านทรัพยากรได้ แต่ยังต้องการหลักฐานจากการใช้งานจริงและแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการใช้งานทางคลินิก สำหรับ amyloid PET จำเป็นต้องมีการขยายบริการและจัดระบบการชำระเงินที่เหมาะสม โดยต้องวางแผนโครงสร้างพื้นฐานอย่างรอบคอบ คำนึงถึงความต้องการที่อาจลดลงในระยะยาวเมื่อมีการตรวจทางเลือกอื่นเข้ามา 
    • ข้อที่ห้า คือการพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการใช้สารชีวภาพและการรักษาอย่างเหมาะสม โดยควรมีการพัฒนาอัลกอริทึมการตรวจและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญในระดับประเทศหรือภูมิภาค รวมถึงแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วย MCI ที่เกิดจากสาเหตุอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรมีการประสานงานในระดับโลกเพื่อสร้างมาตรฐานในการคัดกรองและวินิจฉัยโดยใช้สารชีวภาพ 

    ข้อเสนอแนะเฉพาะสำหรับการเตรียมพร้อมรองรับยา DMTs ครอบคลุม 6 ด้านหลัก ได้แก่

    1. การคัดเลือกและระบุตัวผู้ป่วยที่เหมาะสม การจัดการรักษา โครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากร การให้ความรู้และสนับสนุนผู้ป่วย การทำงานร่วมกันระหว่างสหสาขาวิชาชีพ และการวิจัยและปรับปรุงคุณภาพ  
    1. สำหรับการจัดการรักษา จำเป็นต้องมีโปรโตคอลมาตรฐานสำหรับการให้ยา การติดตามผลการตอบสนองต่อการรักษา และการตรวจสอบผลข้างเคียง โดยเฉพาะ ARIA (amyloid-related imaging abnormalities) ซึ่งเป็นภาวะที่สำคัญและอาจเกิดขึ้นจากยา DMTs การติดตาม ARIA ต้องใช้ MRI ที่มีลำดับภาพพิเศษ ซึ่งอาจเป็นความท้าทายในบางประเทศที่ยังไม่มีการชำระเงินคืนสำหรับ MRI ในการติดตามผู้ป่วย MCI 
    1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ควรมีการจัดตั้งคลินิกสมองเสื่อมเฉพาะทางหรือศูนย์ความเป็นเลิศ พร้อมทั้งให้การศึกษาแก่บุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับยา DMTs การคัดเลือกผู้ป่วย การติดตามการรักษา และการจัดการผลข้างเคียง  
    1. การให้ความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับยาเหล่านี้ รวมถึงประโยชน์ ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มีการตัดสินใจร่วมกันได้อย่างเหมาะสม 
    1. การทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์หลายสาขา ได้แก่ ประสาทวิทยา จิตเวช เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ แพทย์ฉุกเฉิน และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การดูแลที่ครอบคลุม นอกจากนี้ ควรมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้ให้บริการสาธารณสุข ผู้จ่ายเงิน และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม  
    1.  ควรมีการจัดทำระบบทะเบียนและเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้งานจริงของยา DMTs เพื่อนำมาวิเคราะห์ประสิทธิผล ความปลอดภัย และผลลัพธ์ในผู้ป่วย 

    สรุป 

    การศึกษา Asia PRIME แสดงให้เห็นภาพรวมที่สำคัญของสถานการณ์การดูแลผู้ป่วย MCI จากโรคอัลไซเมอร์ในเอเชีย แม้จะมีความแตกต่างระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่มีระบบที่พัฒนาแล้วเนื่องจากมีนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนมาอย่างยาวนาน แต่โดยรวมแล้วภูมิภาคเอเชียยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องแก้ไข กระบวนการคัดกรองและการวินิจฉัยยังต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ และการขยายบริการตรวจวินิจฉัยต่างๆ 

    การเข้าถึงการตรวจหาสารชีวภาพที่ยืนยันการสะสมของโปรตีน amyloid ยังจำกัดมากในหลายประเทศ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้ยา DMTs ที่กำลังจะเข้ามา การขยายการให้บริการและจัดระบบการชำระเงินที่เหมาะสมสำหรับการตรวจเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน พร้อมกันนี้ การพัฒนาการตรวจเลือดหาสารชีวภาพที่ง่ายและถูกกว่าอาจเป็นทางออกที่ดีสำหรับหลายประเทศ 

    ยาชนิดใหม่ที่สามารถชะลอการดำเนินของโรคได้กำลังจะเข้ามามีบทบาทในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น ดังนั้น ประเทศต่างๆ ในเอเชียจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และระบบการให้บริการ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยที่เหมาะสมจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและปลอดภัย การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ภาครัฐ ผู้ให้บริการสาธารณสุข ผู้จ่ายเงิน และผู้กำหนดนโยบาย จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ 

    การลงทุนในการให้ความรู้ การพัฒนาบุคลากร และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในวันนี้ จะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดภาระของโรคที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย

    เอกสารอ้างอิง 

    1. Choi SH, Kim S, Ong PA, Chin AV, Dominguez J, Chen CL, et al. The patient pathway for mild cognitive impairment due to Alzheimer’s disease in Asia: Current practices, barriers, and expert recommendations for optimization. J Prev Alzheimers Dis. 2025;12(1):100215
  • การพยากรณ์โรคที่แม่นยำ ของภาวะ MCI

    การพยากรณ์โรคที่แม่นยำ ของภาวะ MCI

    🧠 “รู้ให้ทัน MCI ก่อนสมองเริ่มถดถอย”: งานวิจัยใหม่เผยวิธีพยากรณ์ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น

    โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ค่อย ๆ พัฒนาในสมองเป็นเวลาหลายสิบปี โดยเริ่มจากระยะที่คนยังไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ แต่ในสมองกลับเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากเราสามารถ “รู้ก่อน” ว่าใครมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment: MCI) ก็จะสามารถวางแผนดูแลและป้องกันได้ทันเวลา 

    งานวิจัยใหม่จาก McGill University ประเทศแคนาดา ได้ติดตามกลุ่มผู้สูงวัยที่ยังไม่มีอาการผิดปกติทางสมอง จำนวน 102 คน เป็นระยะเวลายาวนานเฉลี่ยเกือบ 6 ปี เพื่อหาคำตอบว่า “ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ” (biomarkers) แบบไหน สามารถทำนายได้ดีที่สุดว่าใครจะเริ่มมีอาการ MCI ก่อนใคร 

    🔬 ตัวบ่งชี้หลายรูปแบบ เมื่อจับคู่กัน พยากรณ์ได้แม่นยำกว่าเดิม 

    ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลตัวบ่งชี้ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 

    1. ข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าร่วม เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา และยีน APOE ε4 ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงอัลไซเมอร์ 
    1. ตัวบ่งชี้ระดับโมเลกุล เช่น โปรตีนอะมีลอยด์เบต้า (Aβ42/40 ratio) และโปรตีน tau แบบฟอสโฟรีเลต (p-tau217) จากเลือด รวมถึงภาพ PET scan ตรวจปริมาณคราบอะมีลอยด์และโปรตีน tau ในสมอง 
    1. ตัวบ่งชี้การทำงานของสมอง จากเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetoencephalography: MEG) โดยวัดความแรงของคลื่นสมองในย่าน “อัลฟา” (8–12 Hz) ซึ่งสัมพันธ์กับการทำงานของสมองด้านความจำ 

    เมื่อนำตัวบ่งชี้เหล่านี้มาวิเคราะห์ร่วมกัน ผลลัพธ์ชัดเจนว่าการใช้หลายตัวบ่งชี้แบบ “บูรณาการ” สามารถเพิ่มความแม่นยำในการทำนายว่าใครจะเข้าสู่ภาวะ MCI ได้ดีกว่าการใช้ข้อมูลทางคลินิกเพียงอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ 

    🧠 คลื่นสมอง อะมีลอยด์ และเลือด: แต่ละตัว “เตือน” ไม่พร้อมกัน 

    สิ่งที่โดดเด่นของงานนี้คือ นักวิจัยไม่ได้มองแค่ “ทำนายได้หรือไม่” แต่ยังวิเคราะห์ด้วยว่า ตัวบ่งชี้แต่ละแบบบ่งบอกความเสี่ยงได้ดีที่สุดใน “ช่วงเวลาไหน” ของการติดตาม (เฉลี่ยเกือบ 6 ปี) — ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการวางแผนตรวจสุขภาพสมองแบบเชิงรุก 

    🧠 1. คลื่นสมองอัลฟา (MEG alpha power) ตัวเตือนระยะสั้น (1–3 ปีแรก) 

    • คนที่มีคลื่นอัลฟาสูงกว่าปกติในช่วงแรก มีความเสี่ยงพัฒนาเป็น MCI ภายใน 1–3 ปีมากกว่า (HR = 3.08, p = 0.0052) 
    • แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์นี้กลับ “กลับทิศ” — ผู้ที่มีคลื่นอัลฟาต่ำในช่วงหลัง กลับเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงขึ้น 
    • คลื่นสมองจึงเปรียบเสมือน “ไฟเตือนเร็ว” ที่บอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางสมองกำลังเกิดขึ้น แม้จะยังไม่มีอาการให้เห็นภายนอก 

    🧪 2. PET Scan – ปริมาณอะมีลอยด์ในสมอง (Neocortical Aβ) พยากรณ์ระยะกลาง–ยาว (4–7 ปี) 

    • ตอนเริ่มต้น อะมีลอยด์ PET ยังไม่สามารถทำนายความเสี่ยงได้ชัดเจน (HR ≈ 0.86, p = 0.6584) 
    • แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีต่อปี (HR ต่อปี = 1.27, p = 0.0045) 
    • นี่สอดคล้องกับ “ทฤษฎีอะมีลอยด์มาก่อน อาการมาตามหลัง” โดยอะมีลอยด์เป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงระยะยาว 4–7 ปี ก่อนเกิดอาการ 

    🩸 3. โปรตีนในเลือด (Plasma Aβ42/40, p-tau217) บ่งบอกความเสี่ยงตลอดระยะติดตาม 

    • ผู้ที่มีค่า Aβ42/40 ต่ำ และ p-tau217 สูง มีความเสี่ยงสูงขึ้นตั้งแต่ต้น และคงอยู่ตลอด 7 ปี 
    • ความสัมพันธ์ไม่เปลี่ยนไปตามเวลา (p > 0.38) 
    • การตรวจเลือดจึงเหมาะมากสำหรับ “คัดกรองกลุ่มเสี่ยง” ในประชากรวงกว้าง เพราะเข้าถึงง่ายและไม่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน 

    🧍‍♂️ 4. MRI – ปริมาตรฮิปโปแคมปัส 

    • ไม่สามารถทำนายความเสี่ยงได้ชัดเจนในระยะเวลา 7 ปี (p = 0.0794) 
    • บ่งชี้ว่าโครงสร้างสมองอาจยังไม่เปลี่ยนแปลงมากพอในระยะก่อนมีอาการ 

    📝 สรุปช่วงเวลาการพยากรณ์

    ตัวบ่งชี้ ช่วงเวลาทำนายได้ดีที่สุด ลักษณะ 
    คลื่นอัลฟา (MEG) 1–3 ปีแรกหลังวัด ตัวเตือนเร็ว เตรียมพร้อมตรวจติดตาม 
    PET – Aβ 4–7 ปีหลังวัด ตัวบ่งชี้ระยะยาวของการเปลี่ยนแปลง 
    Plasma Aβ42/40, p-tau217 ตลอดระยะติดตาม คัดกรองความเสี่ยงได้ตั้งแต่ต้น 
    MRI – Hippocampus ไม่ชัดเจน ไม่เด่นในระยะก่อนอาการ 

    📈 ความหมายต่อการดูแลสุขภาพสมอง 

    ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มี biomarker เดียวที่ดีที่สุดตลอดเวลา — แต่เมื่อใช้ร่วมกันในลักษณะ “บูรณาการ” และคำนึงถึงช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลง จะสามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำและเฉพาะบุคคลมากขึ้น 

    • คลื่นสมอง → เตือนเร็ว เหมาะกับการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในระยะสั้น 
    • โปรตีนในเลือด → ใช้ได้ง่ายในวงกว้าง เป็นตัวกรองตั้งแต่ต้น 
    • PET Scan → บ่งบอกแนวโน้มระยะยาวในอีกหลายปีข้างหน้า 

    เมื่อข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้าด้วยกัน จะช่วยให้แพทย์และนักวิจัยสามารถวางแผนดูแล ป้องกัน และติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาการวินิจฉัยหลังเกิดอาการเท่านั้น

    เอกสารอ้างอิง (Vancouver Style)

    1. Gallego-Rudolf J, Wiesman AI, Yakoub Y, Zetterberg H, Blennow K, Baillet S, Villeneuve S, PREVENT-AD Research Group. Prediction of mild cognitive impairment progression using time-sensitive multimodal biomarkers [Preprint]. medRxiv. 2025 Sep 22; doi: 10.1101/2025.09.20.25336240
  • การเสื่อมด้านการจดจำและการจัดการ

    การเสื่อมด้านการจดจำและการจัดการ

    เรื่องน่ารู้การเสื่อมด้านความจำชั่วคราวและ ความสามารถในการบริการจัดการตนเอง (Working Memory และ Executive Function) จากผู้สูงอายุปกติ สู่ภาวะการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อย (MCI) และโรคอัลไซเมอร์

    คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น บางครั้งก็จำเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งได้ยินไม่ค่อยได้ หรือฟังคนพูดหลายคนพร้อมกันแล้วสับสน? อาการเหล่านี้เกิดจากระบบที่เรียกว่า “Working Memory” หรือหน่วยความจำชั่วคราวที่กำลังทำงานอ่อนแอลง ควบคู่กับ “ความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง” (Executive Function) ที่เริ่มไม่แข็งแรง แต่คำถามคือ เมื่อไหร่ที่มันเป็นเรื่องปกติของวัย และเมื่อไหร่ที่เป็นสัญญาณเตือนของโรค?

    หน่วยความจำชั่วคราว(Working Memory) และความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง (Executive Function) คืออะไร?

    ลองนึกภาพว่าสมองของเราเป็นโต๊ะทำงาน Working Memory ก็เหมือนพื้นที่บนโต๊ะที่เราวางเอกสารไว้ทำงานชั่วคราว ไม่ใช่ตู้เก็บเอกสาร (long-term memory) ระบบนี้ประกอบด้วย 3 ส่วน: ส่วนจัดการเสียง (phonological loop) ที่ช่วยให้เราจำสิ่งที่ได้ยิน ส่วนจัดการภาพ (visuospatial sketchpad) ที่ช่วยให้เราจำสิ่งที่เห็น และที่สำคัญที่สุดคือ “central executive” หรือผู้บริหารกลางที่ทำหน้าที่ตัดสินใจว่าจะเก็บข้อมูลอะไร ทิ้งอะไร และจะจัดการข้อมูลนั้นอย่างไร

    สิ่งสำคัญคือ central executive ไม่ใช่ระบบความจำ แต่เป็นระบบควบคุมความสนใจ (attention controller) ที่ทำหน้าที่:

    • เลือกว่าจะสนใจข้อมูลไหน (selective attention)
    • แบ่งสมาธิทำหลายอย่างพร้อมกัน (divided attention)
    • กรองสิ่งรบกวนออก (inhibition)
    • จัดการและปรับเปลี่ยนข้อมูลในหัว (manipulation)

    แล้วเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับระบบนี้บ้าง?

    ภาพรวมการเปลี่ยนแปลง: จากผู้สูงอายุปกติ ผ่าน MCI สู่อัลไซเมอร์
    ด้านที่เปรียบเทียบผู้สูงอายุปกติMCIAlzheimer’s Disease
    ความจุของ Working Memoryจำได้ 4 รายการ (ลดจาก 5+ ในคนหนุ่มสาว)ต้องใช้ข้อมูลน้อยกว่าปกติเพื่อให้ทำได้แม่นยำเท่ากันจำได้ไม่ต่างจากผู้สูงอายุปกติมาก แต่เลือกข้อมูลที่สำคัญไม่ได้
    การทำงานของสมอง (fMRI)ใช้สมองทั้งสองซีกร่วมกัน (bilateral activation) เพิ่มตามความยากของงานOveractivation ในงานง่าย, Underactivation ในงานยาก (ทำงานผิดจังหวะ)Underactivation อย่างรุนแรงในทุกระดับงาน โดยเฉพาะ frontal และ temporal lobes
    บริเวณสมองที่ทำงานPFC ทั้งสองซีก, parietal regions เพิ่มขึ้นตามความยากRight precuneus, right anterior cingulate gyrus ทำงานผิดปกติLeft inferior/middle frontal gyri, occipitotemporal regions underactivation
    การแบ่งสมาธิ (Divided Attention)ทำได้แต่ช้าลง โดยเฉพาะงานซับซ้อนทำได้ยาก โดยเฉพาะ Brown-Peterson procedure (30 วินาที delayed recall)ทำไม่ได้เลยในทุกระดับความยาก
    การจัดการข้อมูล (Manipulation)ต้องการคำแนะนำจากภายนอก (environmental support)MCI higher-cognition: ยังชดเชยได้ (overactivation)<br>MCI lower-cognition: ล้มเหลว (underactivation)ล้มเหลวสมบูรณ์ แม้จะมีคำแนะนำ
    การกรองสิ่งรบกวน (Inhibition)ลดลงเล็กน้อย แต่ยังทำได้เริ่มมีปัญหา ไม่สามารถยับยั้งข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกรองไม่ได้เลย มี perseveration (ทำผิดซ้ำๆ)
    ความเร็วในการตอบสนองช้าลง โดยเฉพาะงานที่ใช้ WM มากช้ากว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในงาน 2-3 รายการช้ามากและผิดพลาดบ่อย
    การเลือกข้อมูลที่สำคัญ (Selective Attention)ยังทำได้ดี เลือกจำสิ่งที่มีคุณค่าสูงเริ่มมีปัญหา แต่บางคนยังทำได้ถ้ามีการชดเชยล้มเหลวสมบูรณ์ จำข้อมูลที่ไม่สำคัญแทน
    กลไกการชดเชย (Compensation)ได้ผลดี โดยเฉพาะงานไม่ซับซ้อน ถ้ามีคำแนะนำก็ทำได้ดีขึ้นได้ผลบางส่วน (MCI higher-cognition) หรือล้มเหลว (MCI lower-cognition)ไม่มีการชดเชย เกิด dedifferentiation
    โอกาสฟื้นฟูไม่จำเป็น แค่ปรับสภาพแวดล้อมสูงมาก ด้วยการออกกำลังกาย การฝึกสมอง (neuroplasticity ยังมี)ต่ำมาก ความเสียหายมากเกินกว่าจะฟื้นฟู
    การทำนายอนาคตคงที่หรือเสื่อมช้ามาก10% ต่อปีจะพัฒนาเป็น AD, 25% กลับเป็นปกติได้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

    การชดเชยของสมองในผู้สูงอายุปกติ: กลไก HAROLD และ CRUNCH

    การวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีมีการทำงานของ Working Memory ที่น่าสนใจ แทนที่พวกเขาจะใช้สมองเฉพาะซีกซ้ายในงานเกี่ยวกับภาษา หรือซีกขวาในงานเกี่ยวกับภาพ เหมือนคนหนุ่มสาว พวกเขากลับใช้สมองทั้งสองซีกพร้อมกัน นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า HAROLD model (Hemispheric Asymmetry Reduction in Older Adults)

    ในตอนแรก นักวิทยาศาสตร์คิดว่านี่เป็นสัญญาณของความผิดปกติ แต่กลับพบว่ามันคือ “กลยุทธ์การรอด” สมองกำลังเรียกกำลังเสริมจากอีกซีกหนึ่งมาช่วย เหมือนคนที่ต้องใช้มือทั้งสองข้างยกของหนักที่เคยยกด้วยมือเดียวได้

    แต่การชดเชยนี้มีข้อจำกัด ผู้สูงอายุสามารถจำข้อมูลได้ไม่เกิน 4 รายการพร้อมกัน ขณะที่คนหนุ่มสาวจำได้ 5 รายการขึ้นไป เมื่อต้องจำมากกว่านี้ พวกเขาจะตอบช้าลงและผิดพลาดมากขึ้น นี่เป็นเพราะ dorsolateral prefrontal cortex ซึ่งควบคุมความจำชั่วคราว มีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้สมองผู้สูงอายุจะ “ทำงานหนักกว่า” (overactivation) ในงานง่ายๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันกับคนหนุ่มสาว แต่เมื่องานยากเกินไป เช่น ต้องจำ 4-6 รายการพร้อมกัน สมองจะเริ่ม recruit พื้นที่เพิ่มเติมทั้งสองซีก ทฤษฎี CRUNCH (Compensation-Related Utilization of Neural Circuits Hypothesis) อธิบายว่านี่เป็นกลไกชดเชยที่ยังได้ผลเมื่องานไม่เกินขีดจำกัด

    การศึกษาพบว่าสมองของผู้สูงอายุยังมี prefrontal cortex ที่ทำงานได้ดี แต่ปัญหาคือมันไม่ถูกเรียกใช้อย่างถูกต้องในงานที่ต้องริเริ่มเอง (self-initiated tasks) เช่น การจำโดยไม่มีคนช่วยบอกวิธี แต่ถ้ามีคนคอยให้คำแนะนำ (environmental support) เช่น การให้ semantic elaboration prompts ระหว่างการจำคำศัพท์ สมองบริเวณ left frontal cortex ก็จะทำงานได้เกือบเท่าคนหนุ่มสาว

    การศึกษาด้วย visual working memory task (จำภาพใบหน้าและบ้าน 3 ภาพ แล้วบอกว่าภาพทดสอบตรงกับภาพไหน) พบว่าผู้สูงอายุจะมี bilateral overactivation ของ PFC เพื่อชดเชย underactivation ของ ventral visual cortical pathway (occipital และ temporal lobes) ที่ทำงานลดลง แม้ว่าผู้สูงอายุจะทำได้แย่กว่าคนหนุ่มสาว แต่กลไกการชดเชยนี้ช่วยให้พวกเขายังทำงานได้ในระดับหนึ่ง

    คำถามคือ ถ้าผู้สูงอายุปกติยังปรับตัวได้ แล้วจุดไหนคือสัญญาณเตือน?

    MCI หรือภาวะการสูญเสียการรู้คิดเล็กน้อย เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อกลไกการชดเชยเริ่มล้มเหลว ภาวะ MCI พบได้ประมาณ 10-20% ของผู้สูงอายุเกิน 65 ปี มี MCI และ 10% ของผู้ที่มี MCI จะพัฒนาเป็นอัลไซเมอร์ในแต่ละปี ผู้ที่มี MCI จะมีปัญหา Working Memory และความสามารถในการบริหารจัดการตนเองที่ชัดเจนกว่าผู้สูงอายุปกติมาก แต่ยังไม่รบกวนกิจวัตรประจำวัน

    การทดสอบที่น่าสนใจใช้ visuospatial working memory task – ตารางที่มีรูปสี่เหลี่ยมวางอยู่ ผู้เข้าร่วมต้องจำตำแหน่งของรูปเหล่านั้น แล้วบอกว่าตำแหน่งไหนเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อปรับระดับความยากให้ผลการทำแบบทดสอบเท่ากัน (75-85% ถูก) พบว่าผู้ที่มี MCI ต้องการข้อมูลที่น้อยกว่าผู้สูงอายุปกติถึงจะทำได้แม่นยำเท่ากัน นอกจากนี้พวกเขายังใช้เวลาตอบสนองช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อต้องจำ 2-3 รายการพร้อมกัน

    สามตัวชี้วัดสำคัญที่ทำนายการพัฒนาจาก MCI สู่อัลไซเมอร์

    ผู้ที่มี MCI จะมีปัญหาใน 3 เรื่องหลัก และสิ่งเหล่านี้สามารถทำนายได้ว่าใครจะพัฒนาเป็นอัลไซเมอร์:

    • ตัวชี้วัดที่ 1: การแบ่งสมาธิ (Divided Attention) – ตัวทำนายที่ไวที่สุด จากการทดสอบ Brown-Peterson procedure ที่ให้จำคำศัพท์ แล้วหน่วงเวลา 30 วินาทีก่อนให้ระลึกคืน พบว่าเป็นเครื่องมือที่ไวที่สุดในการจับสัญญาณ MCI เมื่อติดตามผู้ป่วย 1 ปี พบว่า 8 คนที่ทำแบบทดสอบนี้ได้แย่พัฒนาเป็น AD
    • ตัวชี้วัดที่ 2: การจัดการข้อมูล (Manipulation) – บอกถึงระดับการชดเชย พบว่ากลุ่ม MCI แก้โจทย์ การเรียงลำดับตัวเลขสลับตัวอักษร ได้แย่กว่าคนปกติ
    • ตัวชี้วัดที่ 3: การกรองสิ่งรบกวน (Inhibition) – จุดวิกฤตของผู้บริหารกลาง พบว่ากลุ่ม MCI มีทักษะการคิดเชิงบริหารของสมอง โดยเฉพาะในเรื่องของ การยับยั้งการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม (Inhibitory control) และ ความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive flexibility) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ได้แย่กว่าค่าเฉลี่ยผู้สูงอายุปกติ มักมีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็น AD

    สิ่งนี้บอกอะไรเรา? บอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “พื้นที่เก็บข้อมูล” แต่อยู่ที่ “ผู้จัดการ” (central executive) ที่เริ่มทำหน้าที่ไม่ได้ และผู้ที่มีปัญหาทั้งความจำและการบริหารจัดการตนเอง (a-MCI+) มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเป็น AD

    โรคอัลไซเมอร์: เมื่อความสามารถในการเลือกสรรล้มเหลวสมบูรณ์

    เมื่อ MCI พัฒนาเป็นอัลไซเมอร์ ภาพจะชัดเจนมาก การศึกษาของ Baudic และคณะพบว่าผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น (very mild และ mild AD) จะทำแบบทดสอบความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง (Executive Function) ได้แย่กว่าผู้สูงอายุปกติอย่างมีนัยสำคัญในทุกด้าน:

    • Verbal fluency test (คิดคำศัพท์) – ทำได้แย่
    • Mental Control task (เรียงเดือนย้อนหลัง) – mild AD ทำได้แย่กว่าปกติ แต่ very mild AD ยังทำได้
    • Trail Making Test Part B (executive function) – ทั้งสองกลุ่มทำได้แย่
    • Modified Card Sorting Test (perseveration) – ทั้งสองกลุ่มทำได้แย่

    สิ่งสำคัญคือพวกเขามี “ความคงที่” (perseveration) คือทำผิดซ้ำๆ แบบเดิมโดยไม่สามารถเปลี่ยนวิธีได้ แสดงว่า executive function ล้มเหลวสมบูรณ์ นี่คือหัวใจของปัญหา – ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีพื้นที่เก็บข้อมูลไม่น้อยกว่าผู้สูงอายุปกติมากนัก แต่พวกเขาเลือกไม่ถูกว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ นี่คือความล้มเหลวของ selective attention และ central executive อย่างสมบูรณ์

    การฟื้นฟูและป้องกัน: ช่วงทองของ MCI ที่ยังมี Neuroplasticity

    ข่าวดีคือ ในระยะ MCI ยังแก้ไขได้ เพราะสมองยังมี neuroplasticity

    หรือความยืดหยุ่นในการปรับตัว การศึกษาพบว่า:

    • การออกกำลังกาย: แอโรบิก 30 นาที อย่างน้อย 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ executive control
    • ยกน้ำหนัก (resistance training) 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 12 เดือน ช่วยปรับปรุง executive functioning, memory และ selective attention ในผู้ที่มี MCI

    โปรแกรมฝึกสมองแบบครบวงจร (Multimodal CRT): เน้นฝึก attention, memory และ executive function ร่วมกับการบำบัดทางจิตใจ ผลปรากฏว่าผู้ป่วย MCI มีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญในหลายด้าน

    สรุป: จากความเข้าใจสู่การป้องกัน

    ลองถามตัวเองตามตารางด้านบน:

    • ถ้าคุณจำข้อมูล 4 รายการพร้อมกันได้แต่ช้าลง และยังเลือกข้อมูลที่สำคัญได้ และถ้ามีคนช่วยบอกวิธีก็ทำได้ดีขึ้น – คุณอาจอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุปกติ
    • ถ้าคุณต้องการข้อมูลน้อยกว่าเดิมเพื่อทำงานได้แม่นยำเท่าเดิม ทำหลายอย่างพร้อมกันได้ยากมาก โดยเฉพาะงานที่ต้องจำข้อมูลพร้อมฟังคนพูด และตอบช้าลงอย่างชัดเจน – นี่อาจเป็นสัญญาณ MCI
    • ถ้าคุณจำได้ไม่น้อย แต่เลือกไม่ถูกว่าอะไรสำคัญ ทำผิดซ้ำๆ แบบเดิม และแม้มีคนช่วยบอกวิธีก็ยังทำไม่ได้ดีขึ้น – ควรรีบพบแพทย์

    สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้ผ่านไป เพราะทุกวันในระยะ MCI คือโอกาสทองในการฟื้นฟูสมอง เริ่มออกกำลังกาย ฝึกทำกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง และดูแลสุขภาพกาย เพราะข้อมูลจากการวิจัยบอกชัดเจนว่า มันได้ผลจริง แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ MCI ก่อนที่จะสายเกินไป

    เอกสารอ้างอิง

    1. Kirova AM, Bays RB, Lagalwar S. Working Memory and Executive Function Decline across Normal Aging, Mild Cognitive Impairment, and Alzheimer’s Disease. Biomed Res Int. 2015;2015:748212.
  • ความเสี่ยงของความจำจากวัยเด็ก

    ความเสี่ยงของความจำจากวัยเด็ก

    ประสบการณ์ในวัยเด็ก” อาจกำหนดอนาคตสมองของเราได้ Early Life Adversity (ELA) ตัวแปรสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์

    เมื่อพูดถึง “โรคอัลไซเมอร์” หรือ “ภาวะความจำเสื่อม” หลายคนมักนึกถึงผู้สูงอายุ หรือคิดว่าเป็นเรื่องของพันธุกรรมเท่านั้น แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยจำนวนมากเริ่มชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์ในวัยเด็กตอนต้น โดยเฉพาะประสบการณ์เชิงลบ (Early Life Adversity: ELA) เช่น การถูกทอดทิ้ง การถูกทารุณกรรม การเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดหรือขาดความเอาใจใส่ อาจมีอิทธิพลต่อสมองไปตลอดชีวิต และเป็น “ตัวแปรเงียบ” ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต

    วัยเด็ก: ช่วงเวลาสำคัญของการสร้างสมอง

    สมองของเด็กเล็กมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 0–5 ปี เป็นช่วงที่โครงสร้างสมองและวงจรประสาทเกิดการเชื่อมโยงหนาแน่นที่สุด สิ่งแวดล้อม ความรัก ความอบอุ่น และประสบการณ์ชีวิตที่ดี ช่วยกระตุ้นการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ส่งผลต่อการพัฒนาด้านอารมณ์ การคิด การเรียนรู้ และความสามารถทางสังคมในระยะยาว

    ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ขาดการดูแลที่เหมาะสม เช่น ขาดการสัมผัสทางอารมณ์ ขาดความปลอดภัย หรือเผชิญกับความรุนแรง อาจมีการพัฒนาโครงสร้างสมองที่ผิดปกติ เช่น สมองบางส่วนเล็กลง หรือระบบประสาททำงานผิดจังหวะ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจไม่ปรากฏทันที แต่ส่งผลสะสมไปจนถึงวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ

    เมื่อวัยเด็กไม่ปลอดภัย: Early Life Adversity (ELA)

    ELA หมายถึง ประสบการณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กตอนต้น เช่น

    • การถูกทอดทิ้งทางกายหรืออารมณ์
    • การถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ
    • การพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย
    • การเติบโตในครอบครัวที่มีความรุนแรงหรือปัญหาสุขภาพจิต

    งานสำรวจในหลายประเทศพบว่า ประชากรจำนวนไม่น้อยเคยประสบกับ ELA อย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ และในบางรายเป็น “หลายเหตุการณ์ร่วมกัน” ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางกายและสมองในอนาคต

    งานวิจัยพูดว่าอย่างไร

    🧪 งานวิจัยในสัตว์ทดลอง

    การทดลองในสัตว์ เช่น หนูหรือหนูแฮมสเตอร์ พบว่า การแยกลูกออกจากแม่ในช่วงวัยแรกเกิด ส่งผลให้สมองส่วนฮิปโปแคมปัส (ส่วนสำคัญของความจำ) มีการพัฒนาที่บกพร่อง เกิดการลดลงของสารกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ประสาท และเมื่อโตขึ้นสัตว์เหล่านี้แสดงพฤติกรรมเรียนรู้และจดจำได้แย่กว่ากลุ่มควบคุม อีกทั้งยังพบว่ามีการสะสมโปรตีนอะไมลอยด์ที่คล้ายคลึงกับโรคอัลไซเมอร์ในคน

    👨‍👩‍👧‍👦 งานวิจัยในคน

    งานวิจัยระยะยาวในฟินแลนด์พบว่า เด็กชายที่ถูกแยกจากพ่อแม่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีคะแนนสติปัญญาและความสามารถด้านการคิดต่ำกว่าเพื่อนทั้งในวัย 20 และ 70 ปี ยิ่งระยะเวลาการพรากยาวนาน ผลกระทบยิ่งมาก นอกจากนี้ การศึกษาหลายชิ้นพบว่า เด็กที่เผชิญความรุนแรงหรือขาดความรักในวัยต้น มีแนวโน้มเกิดภาวะความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนทั่วไปในวัยชรา

    กลไกที่เชื่อมโยง ELA กับสมองเสื่อม

    นักวิจัยเสนอว่า ELA ส่งผลต่อสมองในหลายระบบที่ซับซ้อน ได้แก่

    • 🧠 ระบบฮอร์โมนความเครียด (HPA axis): ความเครียดเรื้อรังตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้ระบบฮอร์โมนคอร์ติซอลทำงานผิดปกติ ส่งผลระยะยาวต่อสมองส่วนที่เกี่ยวกับความจำและอารมณ์
    • 🦠 จุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนแปลง (gut–brain axis): ลำไส้และสมองเชื่อมโยงกันผ่านระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน ELA เปลี่ยนชนิดจุลินทรีย์ ส่งผลต่อการอักเสบและการทำงานของสมอง
    • 🔥 การอักเสบเรื้อรัง: เด็กที่เผชิญความเครียดรุนแรงมีแนวโน้มเกิดการอักเสบในระบบประสาทมากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดโปรตีนผิดปกติและเซลล์สมองถูกทำลาย
    • 🧱 การสร้างปลอกไมอีลินบกพร่อง: ไมอีลินคือปลอกที่หุ้มเส้นประสาท ทำให้ส่งสัญญาณได้เร็ว ELA ทำให้กระบวนการนี้ชะงัก เกิดการเชื่อมโยงของสมองที่ไม่สมบูรณ์
    • 🌱 การสร้างเซลล์ประสาทใหม่ลดลง: โดยเฉพาะที่ฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความจำระยะยาว

    กลไกเหล่านี้อาจทำงานร่วมกันเป็น “วงจรป้อนกลับ” ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนหรือสูงอายุ

    ผลกระทบระยะยาว

    คนที่ประสบ ELA มักมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อ

    • ภาวะซึมเศร้าและโรคทางจิตเวช
    • โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคเรื้อรัง
    • ความยากลำบากในการเรียนรู้และความจำลดลง
    • ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เมื่อสูงอายุ

    ทางออกและการป้องกัน

    ข่าวดีคือ ELA ไม่ใช่ชะตากรรมที่เปลี่ยนไม่ได้

    • 🏡 การดูแลเด็กอย่างอบอุ่น: ลดความรุนแรง ส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตเด็ก
    • 🧠 กระตุ้นสมอง: การเรียนรู้สิ่งใหม่ การเข้าสังคม การฝึกสมอง ล้วนช่วยสร้างสำรองทางสมอง (cognitive reserve)
    • 🍽️ โภชนาการที่ดี: โดยเฉพาะโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงสมอง
    • 🏃‍♂️ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: มีหลักฐานว่าออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูการสร้างเซลล์ประสาทและลดการอักเสบ
    • 👩‍⚕️ การดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง: โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยมีประสบการณ์รุนแรงในวัยเด็ก

    สรุปส่งท้าย

    ประสบการณ์ในวัยเด็กเป็น “จุดตั้งต้น” ที่สำคัญต่อสุขภาพสมองในระยะยาว การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีตั้งแต่ต้น และการแทรกแซงที่เหมาะสมในวัยผู้ใหญ่ สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ ELA ไม่ใช่โชคชะตา หากแต่เป็นสัญญาณเตือนที่เราสามารถรับรู้และลงมือดูแลได้ตั้งแต่วันนี้

    เอกสารอ้างอิง

    1. Huang Z, Jordan JD, Zhang Q. Early life adversity as a risk factor for cognitive impairment and Alzheimer’s disease. Translational Neurodegeneration. 2023;12:25. doi:10.1186/s40035-023-00355-z.

  • วิถีใหม่การดูแลตัวเอง

    วิถีใหม่การดูแลตัวเอง

    🧠 “แนวทางใหม่ของโลก: FINGER Model ทางรอดจากสมองเสื่อม เริ่มที่วิถีชีวิตในทุกวัน”

    บทเรียนจากงานวิจัยระดับโลก (FINGER Study)

    ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกกำลังเข้าสู่ยุคของ “สังคมผู้สูงวัย” อย่างแท้จริง ผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น เป็นผลจากการแพทย์ที่ก้าวหน้าและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ปัญหา “ภาวะสมองเสื่อม (dementia)” ก็กลายเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของสาธารณสุขทั่วโลก ปัจจุบันมีคนกว่า 58 ล้านคนทั่วโลกที่เป็นโรคสมองเสื่อม และตัวเลขนี้จะ เพิ่มเป็นสามเท่าในปี 2050 หากเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้

    ภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียง “ความจำเสื่อมของคนแก่” อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่มันคือกระบวนการที่สมองเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่อง มีผลต่อความจำ การคิด การตัดสินใจ บุคลิกภาพ และความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยมักต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา ซึ่งสร้างภาระต่อครอบครัวและสังคมอย่างมหาศาล

    เศรษฐกิจโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในปี 2019 ต้นทุนทางตรงและทางอ้อมของภาวะสมองเสื่อมทั่วโลกอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 16.9 ล้านล้านในปี 2050

    📈 แนวโน้มของโรคสมองเสื่อม: ดีขึ้นในบางที่ แย่ลงในบางภูมิภาค

    งานวิจัยในยุโรปและอเมริกาเหนือพบว่า อัตราการเกิดโรคสมองเสื่อม “ลดลง” อย่างชัดเจนในช่วง 20–30 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญคือ

    • การควบคุมโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีขึ้น
    • การศึกษาของประชากรดีขึ้น
    • การดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยกลางคน

    ตรงกันข้าม ในหลายประเทศเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี พบว่าอัตราการเป็นสมองเสื่อม กลับเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจมาจากอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป (เช่น อาหาร และการเคลื่อนไหว) รวมถึงระบบการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกัน

    🌿 ปัจจัยเสี่ยงที่เราปรับเปลี่ยนได้

    งานวิจัยระดับโลกของ Lancet Commission ระบุว่า 40–45% ของความเสี่ยงสมองเสื่อมมาจาก “ปัจจัยที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้” ซึ่งหมายความว่าเกือบ “ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยในอนาคต” อาจป้องกันได้ถ้าเราเริ่มดูแลตั้งแต่ตอนนี้ ปัจจัยหลัก เช่น

    • 📚 การศึกษาในวัยเด็ก: เด็กที่ได้รับการศึกษาที่ดีจะสร้าง “ทุนสำรองสมอง” (cognitive reserve) ทำให้สมองทนต่อความเสื่อมได้ดีกว่า
    • 👂 การได้ยิน: คนที่สูญเสียการได้ยิน แล้วไม่ได้ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น เครื่องช่วยฟัง จะมีความเสี่ยงสมองเสื่อมสูงขึ้น เพราะสมองต้องทำงานหนักและขาดการกระตุ้นจากเสียง
    • ❤️ ความดันโลหิตสูง / โรคหัวใจ / เบาหวาน / ไขมันสูง: เป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดสมองเสื่อม ซึ่งสัมพันธ์กับการเสื่อมของเซลล์สมอง
    • 🚬 การสูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์มาก: ส่งผลโดยตรงต่อเซลล์สมองและหลอดเลือด
    • 🧍‍♂️ การขาดการเคลื่อนไหวทางกาย และ 😔 ภาวะซึมเศร้า ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน
    • 🌫️ มลพิษทางอากาศ, 👁️ การมองเห็นที่ไม่ได้รับการรักษา, และ 🧠 การบาดเจ็บที่สมองช่วงวัยกลางคน ก็เป็นอีกตัวแปรที่สำคัญ

    ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ “เปลี่ยนได้” ผ่านการปรับพฤติกรรม การออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดี การตรวจสุขภาพประจำปี และการเชื่อมโยงกับสังคม

    โมเดล FINGER: การดูแลหลายด้านพร้อมกันให้ผลดีที่สุด

    เดิมทีการวิจัยด้านการป้องกันมักมุ่งไปที่ “เรื่องใดเรื่องหนึ่ง” เช่น อาหารหรือการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ งานวิจัย FINGER (Finnish Geriatric Intervention Study) จากประเทศฟินแลนด์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะมันรวมการดูแล 5 ด้านพร้อมกัน ได้แก่

    1. โภชนาการสุขภาพดี
    2. การออกกำลังกายประจำ
    3. การฝึกสมอง
    4. การเข้าสังคม
    5. การดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

    ผลการทดลอง 2 ปีพบว่า

    • กลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรม FINGER มีพัฒนาการด้านสมองดีกว่ากลุ่มทั่วไป 25%
    • ลดโอกาสการเสื่อมของสมอง 30%
    • ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้พร้อมกัน
    • ผู้ที่มียีนเสี่ยง (APOE4) ก็ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน

    🌍 ขยายสู่ทั่วโลก: เครือข่าย WW-FINGERS

    จากความสำเร็จของฟินแลนด์ ได้มีการก่อตั้งเครือข่าย World-Wide FINGERS เพื่อปรับใช้แนวทางนี้ในกว่า 70 ประเทศ โดยปรับตามบริบทของแต่ละประเทศ เช่น

    • 🇸🇪 สวีเดน: ใช้ในคลินิกเฉพาะทางสมอง (Brain Health Service) และระดับชุมชน (“Train Your Brain”)
    • 🇫🇮 ฟินแลนด์: บรรจุเข้าในยุทธศาสตร์สุขภาพระดับชาติ
    • 🌐 มีการทดลองใช้เทคโนโลยี e-health เช่น แอปและระบบติดตามสุขภาพ เพื่อให้เข้าถึงง่ายและขยายผลได้ทั่วโลก

    แนวทางนี้ถือเป็นตัวอย่างของ “การป้องกันโรคแบบองค์รวม” ที่ไม่ใช่แค่การรณรงค์ แต่คือการสร้างระบบและโครงสร้างที่สนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมได้จริง

    💰 การลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

    โปรแกรมแบบ FINGER มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 472 ยูโรต่อคน แต่ให้คุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น (QALY) 0.08 หรือเทียบเท่าสุขภาพดีเพิ่ม 1 เดือน ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายของการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ทั้งจากครอบครัว รัฐ และระบบสาธารณสุข

    💬 ข้อคิดส่งท้าย: เริ่มวันนี้ไม่สายเกินไป ภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่ชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเริ่มดูแลสุขภาพสมองตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน สามารถ “ยืดเวลา” การเกิดโรคออกไปได้ และสร้างชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพให้กับตัวเองและคนรอบข้าง

    📚 อ้างอิง (Vancouver style)

    1. Sindi S, Näsholm MS, Barbera M, Thunborg C, Li Y, Jönsson L, et al. From dementia prevention research to global FINGER-based multi-domain interventions and implementation strategies. Cerebral Circulation – Cognition and Behavior. 2025;9:100385. doi:10.1016/j.cccb.2025.100385.